ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของดาต้าเซ็นเตอร์เอเชียท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI

ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของดาต้าเซ็นเตอร์เอเชียท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI

หมวดหมู่: บทความทั่วไปTip & Technicข่าวไอที

ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของดาต้าเซ็นเตอร์เอเชียท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI


การใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบันเป็นการเร่งให้ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทั่วโลก ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานด้านการด้านปฏิบัติการอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นเป้าหมายที่มีมูลค่าสูงสุดในภูมิทัศน์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI การให้บริการคลาวด์ และการประมวลผลแบบเอจ ผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าในการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก อย่างไรก็ตามโอกาสนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ตามรายงาน 2025 Data Centre Trends ของ Vertiv การบรรจบกันของระบบ IT OT และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพภายใต้สภาพแวดล้อมของดาต้าเซ็นเตอร์ที่เชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่นในปัจจุบัน กำลังเพิ่มพื้นผิวการโจมตีของข้อมูลที่กว้างและซับซ้อนมากขึ้น นับเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่กำลังมีการใช้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่อย่างรวดเร็วและในวงกว้าง

ในประเทศไทย ภูมิทัศน์ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล จากข้อมูลของ Palo Alto Networks คาดว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปีพ.ศ. 2568 โดยมีโดยมีดีพเฟก (Deepfake) และความมั่นคงด้านควอนตัม (Quantum Security) เป็นความเสี่ยงสำคัญ ประเด็นนี้ตอกย้ำถึงความเร่งด่วนที่องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยจำเป็นต้องนำแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัยข้อมูลแบบบูรณาการมาใช้ และปฏิบัติตามหลักการ AI อย่างมีจริยธรรม

ระบบควบคุม อุปกรณ์ฝังตัว ตลอดจนฮาร์ดแวร์และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อกัน มักไม่ได้ถูกออกแบบให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับเดียวกับองค์ประกอบเครือข่ายอื่นๆ หากขาดความรอบคอบที่เพียงพอ ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดก็สามารถตกอยู่ในความเสี่ยงได้ ดังนั้น แนวทางในอนาคตจึงชัดเจนว่า ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จำเป็นต้องถูกบูรณาการอยู่ใน DNA ของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลตั้งแต่แรกเริ่ม

เหตุใด “ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์” จึงต้องถูกบูรณาการแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่เสริมในภายหลัง

ในบริบทปัจจุบัน โมเดลความปลอดภัยแบบดั้งเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป พื้นที่การโจมตีที่กว้างขึ้นได้ก่อให้เกิดช่องโหว่ใหม่ๆ ที่อาชญากรไซเบอร์สามารถฉวยโอกาสโจมตีได้ ตั้งแต่อุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่ไร้มาตรการป้องกันในระบบเอจ ไปจนถึงอุปกรณ์อัจฉริยะที่ถูกตั้งค่าผิดพลาด

สิ่งที่จำเป็นคือการนำแนวทาง “cybersecurity by design” มาใช้ ซึ่งหมายถึงการบูรณาการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับผู้ให้บริการและองค์กรต่างๆ แนวทางนี้ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการทบทวนบทบาทของโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพใหม่ ว่าจะสามารถช่วยป้องกันภัยคุกคามดิจิทัลได้อย่างไร

นอกจากนี้ การขยายตัวของระบบเอจและเวิร์กโหลดแบบไฮบริดยังทำให้ผู้ให้บริการต้องบริหารจัดการระบบนิเวศขนาดใหญ่ของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งแต่ละอุปกรณ์ต่างนำมาซึ่งความเสี่ยงและช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างพื้นฐานจึงไม่เพียงต้องมีความเสถียร แต่ยังต้องบทบาทในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ด้วย ทั้งนี้รวมถึงระบบที่สามารถมองเห็นแบบเรียลไทม์ สนับสนุนการตรวจสอบเชิงรุก ช่วยลดความเสี่ยงจากการตั้งค่าที่ผิดพลาด ภัยคุกคามจากภายใน ตลอดจนถึงช่องโหว่ที่เกิดจากบุคคลที่สามและปัจจัยอื่นๆ

โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ ความมั่นคงในรูปแบบใหม่

ขณะนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (CIO) ขององค์กร
ต่างๆ เมื่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น การพึ่งพาเพียงซอฟต์แวร์ป้องกันที่แยกส่วนกันไม่เพียงพออีกต่อไป โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพจำเป็นต้องมีบทบาทเชิงรุกในกลยุทธ์ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์สำหรับองค์กร

การบรรจบกันของระบบ IT และ OT เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ ขณะที่การใช้งานระบบเอจขยายตัวและโครงสร้างพื้นฐานมีการกระจายตัวมากขึ้น การตรวจสอบแบบบูรณาการและการผสานความปลอดภัยระหว่างสภาพแวดล้อม IT และ OT อย่างไร้รอยต่อจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น

ในขณะเดียวกัน ภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบก็กำลังเปลี่ยนแปลง รัฐบาลเริ่มมีแผนการมาตรการตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ในประเทศไทย ประเด็นนี้ได้รับการตอกย้ำผ่านโครงการระดับชาติ เช่น “Secure Network Alliance” ภายใต้การสนับสนุนของสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ให้บริการดิจิทัลชั้นนำ ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายในการรื้อถอนเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์จากรากฐาน

สอดคล้องกับการที่รัฐบาลกำหนดให้ปีพ.ศ. 2568 เป็น “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์” โครงการดังกล่าวให้ความสำคัญกับการบูรณาการและความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่บั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ

การดำเนินงานอย่างเข้มงวดของรัฐบาลไทย ทำให้โครงการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งในระดับชาติ งานสัมมนาอย่าง Dicyfor Security Summit Bangkok 2025 ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ผ่านการร่วมมือและนวัตกรรม อีกทั้งตลาดความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของไทยคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 12.3% ระหว่างปีพ.ศ. 2567 ถึง 2568

ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้านความยืดหยุ่นทางดิจิทัล

การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงการตระหนักในวงกว้างว่าความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้าน IT อีกต่อไป แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันที่ครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐาน การดำเนินงาน และธรรมาภิบาล ซึ่งจำเป็นต้องได้รับออกแบบและบูรณาการตั้งแต่ต้น

การสร้างอนาคตดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น

เมื่อ AI ถูกบูรณาการเข้ามาในเวิร์กโหลดมากขึ้น ผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ย่อมขยายผลในวงกว้างและรุนแรงมากขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่ความถูกต้องของข้อมูลไปจนถึงความต่อเนื่องในการดำเนินงาน ความจำเป็นในการมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่มั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นวาระสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหลายประเทศในภูมิภาคยังคงอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลขั้นพื้นฐาน ควบคู่ไปกับการเร่งเดินหน้าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทยก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 9.79% ระหว่างปีพ.ศ. 2565 ถึง 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบาย Cloud-First หรือกำหนดการใช้บริการจากระบบคลาวด์ของไทย และการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องวางระบบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เข้าไปในกระบวนการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่ต้น

ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ตลาดอื่นๆ อย่างมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างมีความต้องการด้านไฮเปอร์สเกลและการใช้งานระบบเอจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเผชิญความเสี่ยงที่มากขึ้นเช่นกัน ประเด็นนี้ตอกย้ำว่า การสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบ “security by design” ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่ถูกมองว่าเป็นรากฐานที่จำเป็น

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคตจำเป็นต้องถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับการใช้งาน AI มีความยั่งยืนและยืดหยุ่นแต่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตั้งแต่ต้น ผู้ให้บริการและองค์กรจะก้าวสู่ความสำเร็จได้ คือผู้ที่ยอมรับแนวคิดแบบองค์รวมนี้ โดยบูรณาสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบ IT และหลักธรรมาภิบาลเข้าด้วยกัน ภายใต้พันธกิจร่วมกันในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานในทุกระดับชั้น

เพราะหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบัน คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “ภัยคุกคามทางไซเบอร์จะเกิดขึ้นหรือไม่” แต่คือ “เรามีความพร้อมเพียงใดในการรับมือและยืนหยัดต่อภัยนี้”


ที่มา: sanook.com/hitech/1617815

ไอทีจีเนียส เอ็นจิเนียริ่ง (IT Genius Engineering) ให้บริการด้านไอทีครบวงจร ทั้งงานด้านการอบรม (Training) สัมมนา รับงานเขียนโปรแกรม เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น งานออกแบบกราฟิก และงานด้าน E-Marketing ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้ง SEO , PPC , และ Social media marketting

ติดต่อเราเพื่อสอบถามผลิตภัณฑ์ ขอราคา หรือปรึกษาเรื่องไอที ได้เลยค่ะ

Line : @itgenius (มี @ ด้านหน้า) หรือ https://lin.ee/xoFlBFe
Facebook : https://www.facebook.com/itgeniusonline
Tel : 02-570-8449 มือถือ 088-807-9770 และ 092-841-7931
Email : contact@itgenius.co.th

แนะนำหลักสูตรอบรมที่น่าสนใจ

user
โดย Bella
เข้าชม 54 ครั้ง

คำค้นหา : ปัญญาประดิษฐ์ดาต้าเซ็นเตอร์deep fakecloud firstworkloadโครงสร้างพื้นฐานภัยคุกคามไซเบอร์cybersecurityการโจมตีของข้อมูล