แคนนอนส่งจี ซีรีส์ ลุยตลาดอิงค์เจ็ต พรินเตอร์

รองรับงานพิมพ์จำนวนมาก! แคนนอนส่งจี ซีรีส์ ลุยตลาดอิงค์เจ็ต พรินเตอร์
แคนนอนเปิดตัวเครื่องพิมพ์แบบแท็งก์แท้เป็นครั้งแรก ประเดิม 3 รุ่นใหม่ เอาใจคนใช้งานพิมพ์จำนวนมาก หวังรักษาส่วนแบ่งตลาดอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ อันดับ 1 ในไทย...

นายอลัน ชึง ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า แคนนอนเป็นผู้นำตลาดอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ ในประเทศไทยกว่า 15 ปี ซึ่งบริษัทยังคงคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น โดยล่าสุดได้เปิดตัวอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ รุ่นพิกซ์มา จี ซีรีส์ จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ จี1000, จี2000, จี3000 ซึ่งเป็นการทำตลาดเครื่องพิมพ์แท็งก์แท้ของแคนนอนครั้งแรกในประเทศไทย

"แม้แคนนอนจะเพิ่งทำตลาดในกลุ่มอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ แท็งก์แท้ ขณะที่แบรนด์อื่นเริ่มจำหน่ายสินค้ากลุ่มดังกล่าวประมาณ 2-3 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าด้วยจุดเด่นในความคุ้มค่าของรุ่นจี ซีรีส์ จะทำให้แคนนอนสามารถรักษาสัดส่วนอันดับ 1 ในกลุ่มอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ เอาไว้ได้ หลังจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจของบริษัทมีการชะลอตัวไปบ้างเนื่องจากประเทศไทยมีสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง แต่คาดว่าภายในปี 2559 ธุรกิจของกลุ่มแคนนอนจะมีการเติบโตอย่างชัดเจนอีกครั้ง โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้แบบเลขหลักเดียว (ซิงเกิลดิจิ) โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับธุรกิจพรินเตอร์ รวมถึงกล้องถ่ายภาพแบบมิลเลอร์เลสและเครื่องใช้ภายในสำนักงาน"

นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงงาน 3 แห่ง เป็นฐานการผลิตสินค้า โดยตั้งอยู่ภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา และปราจีนบุรี เพื่อรองรับการผลิตอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องใช้ภายในสำนักงาน ซึ่งเชื่อว่าจะมีการเพิ่มจำนวนการผลิตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดตัวอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ รุ่นพิกซ์มา จี ซีรีส์ ในประเทศอินเดีย จีน และมาเลเซีย พบว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกสู่ตลาด คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการเปิดตัวจี ซีรีส์ ในครั้งนี้ถือเป็นการเติมเต็มผลิตภัณฑ์กลุ่มอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ของแคนนอน จากปัจจุบันที่มีอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่มากกว่า 30 รุ่น ในระดับราคาหลักพันบาทถึงหลายล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ไอดีซี ระบุว่าส่วนแบ่งตลาดอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของประเทศไทยนั้น แคนนอนยังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งที่ 40% ส่วนเอปสัน มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 29% เอชพี 17% และบราเดอร์ 14% สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุดนั้น คือความสามารถในการเติมหมึกพิมพ์ ซึ่งได้ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถเติมหมึกได้อย่างง่ายดาย หมึกพิมพ์มีราคาอยู่ที่ 300 บาท ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ ทำราคาอยู่ที่ 250-270 บาท แต่สามารถพิมพ์ได้จำนวนแผ่นน้อยกว่า และยังรองรับการพิมพ์จำนวนมาก โดยสามารถพิมพ์หมึกดำได้สูงสุด 6,000 แผ่น และหมึกสีสูงสุด 7,000 แผ่น

ทั้งนี้ ยอดจำหน่ายอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ ในประเทศไทยมีจำนวนรวม 1 ล้านเครื่องต่อปี โดยแบรนด์ที่เปิดตัวอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ แท็งก์แท้ในประเทศไทยแล้ว คือ เอปสันและบราเดอร์ ซึ่งจากการเปิดตัวในครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 40% ของกลุ่มอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ ภายในปี 2559

ปัจจุบัน กลุ่มผู้ใช้งานพรินเตอร์นั้นมีพฤติกรรมที่หลากหลาย แต่ยังขาดความเข้าใจในการเลือกซื้ออุปกรณ์เพื่อรองรับการใช้งานให้ถูกต้อง แคนนอนจึงพยายามทำตลาดด้วยการสร้างความเข้าใจในการใช้งาน พร้อมทั้งนำเสนอพรินเตอร์หลากหลายรุ่นและราคาเพื่อทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการ โดยบริษัทได้แบ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ ออกเป็นการใช้งานเป็น 5 กลุ่ม คือ 10-50 แผ่นต่อเดือน ในรุ่นเอส ซีรีส์, 30-100 แผ่นต่อเดือน ในรุ่นเอ็มจี ซีรีส์, 80-400 แผ่นต่อเดือน ในรุ่นอี ซีรีส์, 150-1500 แผ่นต่อเดือน ในรุ่นแม็กซิไฟ ซีรีส์ และ 300-2,000 แผ่นต่อเดือน ในรุ่นจี ซีรีส์ เพื่อรองรับพฤติกรรมการพิมพ์ที่หลากหลาย อาทิ พิมพ์จำนวนไม่มากต่อเดือน, พิมพ์เป็นจำนวนมาก, ต้องการคุณภาพงานพิมพ์ใกล้เคียงกับเลเซอร์พรินเตอร์, ต้องการต้นทุนต่ำในการพิมพ์จำนวนมาก เป็นต้น

ส่วนรายได้ของกลุ่มแคนนอน ปัจจุบันมาจากธุรกิจกล้อง 40% พรินเตอร์ 35% และเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องใช้ภายในสำนักงาน เครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ อยู่ที่ 25%.

ที่มา: